รีวิว Samsung Fit e ฟิตเนสแทร็คเกอร์ราคาเบาๆ
จาก Samsung ที่เคยเปิดตัวสมาร์ทวอชออกมาหลายต่อหลายรุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเน้นแต่แบบจอสีราคาตั้งแต่เกือบหมื่นไปจนถึงหมื่นต้นๆ แต่ปีนี้ Samsung ได้เปิดตัว Fitness tracker หรืออุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกายที่มีขนาดเล็กกว่า หน้าจอแบบขาวดำ แถมยังมีราคาถูกเพียงพันต้นๆ เท่านั้นเอง นั่นก็คือ Samsung Galaxy Fit e
แกะกล่องลองใช้ SAMSUNG GALAXY FIT E
Samsung Fit e เป็น Fitness track หรือสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่มีขนาดเล็กที่สุด ราคาถูกที่สุดเท่าที่ Samsung เคยวางจำหน่ายมา รูปแบบกล่องผลิตภัณฑ์ก็มีขนาดกะทัดรัดมากๆ ด้านข้างกล่องมีบอกคุณสมบัติเด่นๆ ของร่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน มีระบบตรวจจับการออกกำลังกาย ระบบการนอนโดยอัตโนมัติ และสามารถกันน้ำได้ลึกที่ระดับ 50 เมตร
ภายในกล่องก็ไม่ได้มีอะไรมาให้มากมาย มีเพียงแค่ตัวสายรัดข้อมือ และสายชาร์จเสียบกับพอร์ต USB เส้นสั้นๆ มาให้เท่านั้นเอง ตัวเครื่องและสายรัดข้อมือที่เราได้มาทดสอบเป็นสีขาวสะอาดตา เหมาะกับข้อมือผู้หญิง
Samsung Fit ⓔ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแบบง่ายที่สุด ตัดปุ่มต่างๆ ออกไป อาศัยนิ้วคือเคาะบนหน้าจอ (ไม่ใช่จอสัมผัส) เพื่อสั่งงานเปลี่ยนหน้าจอแสดงผลในโหมดต่างๆ วนไปเรื่อยๆ ไม่สามารถตั้งค่าใดๆ ได้ ซึ่งจะต้องตั้งค่าการใช้งานบนสมาร์ทโฟนเท่านั้น
จอแสดงผลของรุ่นนี้เป็นแบบ PMOLED ขนาด 0.74 นิ้ว แสดงสีได้เฉพาะขาวกับดำ ด้านข้างไม่มีปุ่มใดๆ ให้กด ส่วนด้านล่างเป็น Heart rate sensor สำหรับตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ จะมีไฟสีเขียวๆ กระพริบขณะใช้งาน และยังมีหน้าสัมผัสขั้วต่อสำหรับชาร์จแบตเตอรี่
สายรัดข้อมือส่วนปลายจัดเก็บได้เรียบร้อย
สายรัดข้อมือที่มีมาให้ในกล่องเป็นสีขาว สามารถถอดออกจากตัวเครื่องเพื่อเปลี่ยนสีสายรัดข้อมือได้ จากการทดสอบใส่ข้อมือผู้ชายพบว่าจะต้องรัดที่รู 2-3 นับจากสุดท้าย ซึ่งหากเป็นคนอ้วน ข้อมือใหญ่อาจจะใส่ไม่ได้
ใช้งานร่วมกับแอพฯ GALAXY WEARABLE
อย่างที่บอกไปว่า รุ่นนี้ไม่สามารถกดตั้งค่าใดๆ ได้จากสมาร์ทแบนด์ จะต้องใช้งานร่วมกับแอพฯ Galaxy Wearable เท่านั้น สามารถดาวน์โหลดได้จาก Google Play store ได้เลย สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์แบรนด์อื่นๆ ก็สามารถใช้งานได้ เมื่อเริ่มต้นใช้งานให้ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วถอดออก จากนั้นเปิดแอพฯ Galaxy Wearable แล้วทำการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth LE แบบง่ายๆ จากนั้นก็ทำการอัพเดทซอฟท์แวร์เพียงไม่กี่ขั้นตอน ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
ที่หน้าการใช้งานจะมีคำแนะนำต่างๆ อย่างเช่นคู่มือให้เราได้เปิดอ่าน ถัดลงมาจะเป็นการตั้งค่าการใช้งานต่างๆ อย่างเช่นนาฬิกาปลุก, การตั้งค่าการแจ้งเตือนบนสมาร์ทแบนด์, เพิ่ม/ลบ Widget บนหน้าจอ เป็นต้น ซึ่งจะไปปรากฎบนหน้าจอสมาร์ทแบนด์
ส่วนที่เมนู Watch faces จะมีรูปแบบหน้าจอต่างๆ ให้เลือก 6 แบบ ซึ่งในแต่ละแบบก็จะมีการแสดงผลนาฬิกา จำนวนก้าวที่เดินในแต่ละวัน จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญ อัตราการเต้นของหัวใจเป็นต้น เลือกใช้งานได้ตามความชอบ แต่ไม่สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้
ดูผลสรุปข้อมูลในแต่ละวันได้ด้วยแอพฯ SAMSUNG HEALTH
จาก Galaxy Wearable ที่ใช้ร่วมกับ Samsung Galaxy Fit ⓔ สำหรับตั้งค่าต่างๆ หากต้องการดูสรุปผลการออกกำลังกายในแต่ละวันจะต้องดาวน์โหลดแอพฯ Samsung Health มาใช้งานจาก Play store ซึ่งยี่ห้ออื่นก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้เช่นกัน แต่การใช้งานจะต้องสมัคร Samsung Account ในแอพฯ ให้เรียบร้อยจึงสามารถใช้งานได้
ข้อมูลการออกกำลังกายจะสามารถดูได้ทั้งจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน, จำนวนการออกกำลังกายในแต่ละวัน (Active time), สรุปผลออกกำลังกาย, ระยะเวลาในการนอนในแต่ละคืน ซึ่งจะมีรายงานชั่วโมงการนอน การหลับลึก หลับตื้นสรุปออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ควรจะนอนได้ในแต่ละคืน นอกจากนี้ยังมีให้เราบันทึกการดื่มน้ำ และอาหารเพื่อที่จะคำนวนแคลอรี่ว่าเรารับพลังงาน และออกกำลังกายเพียงพอหรือไม่ในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังเลือกได้ว่าจะออกกำลังกายประเภทไหน เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้น พายเรือ ต่อยมวย ฯลฯ เมื่อเลือกแล้วก็กด Start แล้วออกกำลังกายได้เลย
บทสรุปการใช้งาน SAMSUNG GALAXY FIT Ⓔ
จากการใช้งานมาอาทิตย์กว่าๆ โดยใส่ทั้งวันทั้งคืนรวมไปถึงตอนนอนด้วยพบว่าเมื่อชาร์จแบตจนเต็มใช้งานจนแบตหมดได้ประมาณ 5 วัน ตัวเรือนสวมใส่ได้สบายมาก เพราะมีน้ำหนักเบาเพียง 70 กรัม เบาจนบางครั้งต้องยกขึ้นมาดูว่ายังใส่อยู่ ไม่ได้หลุดหายไปไหน แต่สายรัดอาจจะสั้นไปหน่อยสำหรับผู้ชายที่มีข้อมือขนาดใหญ่ การใช้งานรุ่นนี้จะเน้นแสดงผลมากกว่า ทั้งการเดิน อัตราการเต้นหัวใจ หากต้องการตั้งค่า หรือดูข้อมูลเชิงลึกจะต้องเปิดแอพฯ ดูบนสมาร์ทโฟนเท่านั้น ส่วนราคาเปิดตัวเพียงแค่ 1,290 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าถูกที่สุดที่ Samsung เคยทำมา ดังนั้นสรุปได้เลยว่า Samsung Galaxy Fit ⓔ รุ่นนี้เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการรู้เพียงแค่ข้อมูลการออกกำลังกาย การนอนหลับในแต่ละวันเท่านั้น หากจะใช้งานแบบออกกำลังกายแบบจริงจังแนะนำ Galaxy Watch ไปเลยจะดีกว่า