Samsung Galaxy S6 edge+ และ Samsung Galaxy Note 5 เปิดตัวไปในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยทาง Samsung Galaxy Note 5 นั้นได้เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว โดยรุ่นนี้ก็เป็นไปตามคาดหมายว่าจะมีหน้าตาที่เหมือนกับ Samsung Galaxy S6 edge ที่จะมาพร้อมกับขอบจอโค้ง Edge screen ทั้ง 2 ข้างเหมือนกัน แต่มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า และถึงแม้จะเปิดตัวพร้อมกัน แต่รุ่นนี้กลับไม่มีปากกา S Pen มาให้ใช้งานด้วย นั่นหมายความว่า Samsung Galaxy Note Edge ไม่มีรุ่นต่อยอดทันที
หน้าตาและดีไซน์
ขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้ว แบบซุปเปอร์อะโมเล็ต ความละเอียดระดับควอดเฮชดี พร้อมขอบจอโค้ง Edge screen ทั้ง 2 ข้าง เหนือจอแสดงผลมีไฟแจ้งเตือน แอลอีดี ถัดมาเป็นเซ็นเซอร์วัดระยะห่าง และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่วนปุ่มโฮมก็จะรองรับการใช้งานสแกนลายนิ้วมือ
ด้านซ้ายพบกับขอบโลหะสุดบางวางอยู่ใต้ขอบจอโค้ง และมีเพียงปุ่มปรับระดับเสียงสนทนาเท่านั้นที่วางอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเครื่อง
แน่นอนว่ายังคงมองเห็นขอบจอโค้งของฝั่งขวา โดยมีปุ่มล็อค/ปลดล็อคตัวเครื่องวางอยู่เกือบกึ่งกลางของตัวเครื่องเหนือขอบโลหะเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น
มีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดโดยจะต้องใช้เข็มจิ้มซิมเปิดออกมา และมีรูไมโครโฟนที่ 2 วางอยู่ใกล้เคียงกัน
มีพอร์ต microUSB ที่วางอยู่ตรงกลาง ขนาบด้วยช่องต่อชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร รูไมโครโฟนสำหรับสนทนา และลำโพงสปีกเกอร์ที่วางอยู่ข้างพอร์ตไมโครยูเอสบี
ฝาหลังเป็นกระจกใสสวยงาม ส่วนตัวสียังมีการเคลือบพิเศษ จะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีแสงมาตกกระทบ กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ด้านข้างเป็นแฟลชแอลอีดี และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ
ประสิทธิภาพ
ถึงแม้ภายนอกอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับเครื่องใน Samsung Galaxy S6 edge+ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีการเพิ่ม RAM แบบ DDR4 ขึ้นมาเป็น 4GB แต่ยังคงใช้ขุมพลังจาก Samsung Exynos 7420 เหมือนกับ Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 edge ในส่วนของระบบปฏิบัติการก็ได้นำ Android 5.1.1 Lollipop มาใช้งาน ส่งผลให้ตัวเครื่องมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย สำหรับหน้าตาอินเตอร์เฟซในการใช้งานเป็น TouchWiz ตัวใหม่ ที่มีการตัดอะไรหลายๆอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้หน้าตาสะอาดและน่าใช้งานมากขึ้น และมีการหน่วยความจำแบบ UFS 2.0 มาใช้งาน ทำให้อ่าน/เขียนได้เร็วขึ้นกว่าเดิมเกือบสองเท่า น่าเสียดายที่เพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้ และถอดแบตเตอรี่ไม่ได้เช่นกัน และมีหน่วยความจำ 32 และ 64 กิกะไบท์ ให้เลือกใช้งาน
Edge screen
สำหรับขอบจอโค้ง Edge screen บน Samsung Galaxy S6 edge+ มาในเวอร์ชั่น 15.0.91 ยังคงต้องเลือกใช้งานด้านใดด้านหนึ่งเหมือนเดิม แต่มีการเพิ่ม Apps edge สำหรับการใช้งานทางลัดของแอพพลิเคชั่นได้ถึง 5 แอพเข้ามาเพิ่มเติมนอกเหนือจาก People edge ที่ใส่รายชื่อบุคคลสำคัญได้ถึง 5 รายชื่อ และสามารถเข้าถึงทั้ง 2 ฟีเจอร์นี้ได้รวดเร็วขึ้นด้วยการสไลด์จากปุ่ม Edge screen handle ขึ้นมา นอกจากนี้ยังคงแสดงการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ ข้อความ และอีเมล์, ไฟของบุคคลสำคัญใน People edge, เวลา Night clock ที่ขอบจอโค้ง Edge screen อีกด้วย
กล้องหลัง 16MP รูรับแสง f/1.9
ถือเป็นจุดที่ต้องชมเลยก็ว่าได้ สำหรับกล้องหลังของ Samsung Galaxy S6 edge+ ที่ทำออกมาได้ดี ออโตโฟกัสที่รวดเร็ว และต้องยกความดีความชอบให้กับรูรับแสง f/1.9 ที่ช่วยให้ภาพใสและสว่างขึ้น สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพระยะใกล้ บอกได้เลยว่ารุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน และถ้าชอบถ่ายรูปบุคคลก็มีฟีเจอร์ Auto Real-time HDR มาให้ใช้งาน ป้องกันหน้ามืดตอนถ่ายย้อนแสงอีกด้วย และถ้าใครที่ชอบการตั้งค่ากล้อง ชอบถ่ายรูปภาพแบบ Manual Focus ก็สามารถใช้งานโหมด Pro ได้ ปรับสปีดชัตเตอร์, ISO และอื่นๆได้ และถ้าใช้โหมด Pro จะสามารถเลือกบันทึกเป็น RAW ไฟล์ได้
ส่วนการบันทึกวิดีโอ Samsung Galaxy S6 edge+ ก็สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K UHD แต่จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ Tracking AF, HDR, Video effects, Video stabilization และถ่ายรูปภาพขณะบันทึกวิดีโอเมื่อบันทึกที่ความละเอียด 4K UHD, QHD, FHD (60fps)
กล้องหน้า 5MP
ในส่วนของกล้องหน้า เป็นกล้องออโตโฟกัสความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 120 องศา รูรับแสง f/1.9 มีฟีเจอร์ Auto real-time HDR เช่นเดียวกันกับกล้องหลัง พร้อมโหมดบิ้วตี้ที่ปรับผิวเนียน, ตาโต และหน้าเรียวได้ สาวๆที่ชื่นชอบการเซลฟี่ต้องชอบกล้องของรุ่นนี้เป็นแน่
การเชื่อมต่อและแบตเตอรี่
Samsung Galaxy S6 edge+ แบตเตอรี่มีความจุ 3,000mAh ใช้งานปกติจากเช้าถึงตอนกลางคืนได้สบายๆ รองรับการชาร์จเร็ว และชาร์จเร็วไร้สายในตัว ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อก็รองรับการเชื่อมต่อเครื่อข่ายแบบ 4G LTE หรือจะเชื่อมต่อแบบ 3G ก็ได้ นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth และสามารถแชร์หน้าจอไปยังทีวี หากต้องการใช้งานเป็น Wi-Fi hotspot แชร์สัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังอุปกรณ์อื่นๆ หรือจะส่งไฟล์ผ่าน Wi-Fi Direct และ NFC กับอุปกรณ์ที่รองรับได้โดยตรง
Samsung Galaxy S6 edge+
หากใครที่มองว่าขอบจอโค้ง Edge screen และหน้าจอ 5.1 นิ้วบน Samsung Galaxy S6 edge นั้นเล็กไป ต้องหันมามองรุ่นนี้แทน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นถึง 5.7 นิ้ว ทำให้การใช้งานต่างๆได้เต็มตาและจับตัวเครื่องได้ถนัดมือมากขึ้น นอกจากนี้ตัวกล้องถ่ายรูปยังมีความคมชัดและลูกเล่นมากมายทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นด้วย ส่วนกล้องหน้าบอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวัง เซลฟี่สวยใสคมชัดมาก และตัวเครื่องก็มีน้ำหนักไม่มาก ทำให้ถือใช้งานได้สบายๆ ใครที่เบื่อหน้าจอสมาร์ทโฟนเดิมๆ บอกได้คำเดียวว่า Samsung Galaxy S6 edge+ ไม่ผิดหวังครับ แต่ถ้าใครที่อยากได้ฟีเจอร์ครบครันกับปากกา S Pen ก็มองไปที่ Samsung Galaxy Note 5 ได้เลย