พรีวิว Galaxy S9 และ S9+ ที่สุดด้านความเป็นผู้นำด้วยเทคโนโลยีกล้องสุดล้ำเหนือชั้นเกินจินตนาการ

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ ก็กลับมาพบกับพวกเราทีมงานซัมซุงปาร์ตี้กันอีกแล้วนะคะ อย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อคืนวันที่ 25 ก.พ ที่ผ่านมานี้ Samsung ได้เปิดตัว Galaxy S9 และ  S9 plus  อย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพวกเราก็ได้รับจดหมายเชิญจากทางซัมซุงประเทศไทยให้มาสัมผัสตัวเครื่องจริงครั้งแรกก่อนใคร ว่าแต่รุ่นนี้จะมีความพิเศษยังไงบ้างเราไปชมกันเลยดีกว่าค่ะ 

Samsung Galaxy S9 / S9 plus

ก่อนจะทำพรีวิวอันนี้ต้องขอสารภาพตรงนี้เลยว่า ความรู้สึกแรกที่เห็นเครื่องเรารู้สึกเฉยๆ กับสองรุ่นนี้มาก เพราะการออกแบบดีไซน์ที่ดูคล้ายเดิม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของขนาดหน้าจอที่มาในขนาดเดิมคือ 5.8″ และ 6.2″ จอแสดงผล Super AMOLED แบบไร้กรอบไรปุ่มโฮม และ Infinity Display ในสัดส่วน 18.5:9 ที่ดูแล้วก็ชวนให้นึกว่าเป็นรุ่นก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย แต่พอได้ลองจับลองเล่น และลองสังเกตุดี ๆ ก็แอบเห็นว่าหน้าจอของทั้งคู่มีขนาดเล็กลงกว่า S8/S8+ อยู่นิดนึง

ซึ่งเมื่อทำการวัดสัดส่วนแบบ Screen-to-Body ของสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นแล้วพบว่าทั้งคู่มีสัดส่วนหน้าจอโดยประมาณอยู่ที่ 85.3% และ 86.2% ซึ่งที่เราดูว่าจอมีความเพรียวบางขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมีการขยับขอบหน้าจอด้านข้างให้เข้ามาเล็กน้อย สังเกตได้จากมุมทั้ง 4 มุมที่มีความโค้งมนเพิ่มมากขึ้น ด้วยการปรับดีไซน์ในจุดนี้จึงทำให้พื้นที่หน้าจอดูกว้างขึ้นนั่นเอง

ในส่วนของรูปร่างแน่นอนว่าซัมซุงกาแลคซี่ S9 และ S9+ นั้นก็มีการปรับเรื่องการออกแบบตัวเครื่องให้มีความโค้งมนมากขึ้น แต่ยังคงความแข็งแกร่งด้วยกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้า- หลัง และที่ขอบตัวเครื่องก็เลือกใช้วัสดุชนิดเดียวกับ Note 8 อย่าง Aluminuim 7000 Series ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า 

และในส่วนของปุ่มต่างๆ ก็ยังคงเดิม คือด้านซ้ายมือจะเป็นปุ่ม Volume เพิ่ม-ลดเสียง และ ปุ่ม Bixby ในส่วนทางฝั่งขวาก็จะเป็นปุ่ม Power สำหรับเปิดปิดเครื่องเช่นเดิม ถัดมาก็จะเป็นในส่วนของด้านขอบบนและขอบล่างตัวเครื่อง ตรงนี้ด้านบนจะเป็นช่องสำหรับใส่ซิมและ SD Card

ถัดมาในส่วนของด้านล่างก็จะเป็นพอร์ตการเชื่อมต่อสำหรับฟูฟังและ USB Type-C ถัดมาข้างๆ ก็จะเป็นไมค์และลำโพงสเตอริโอแบบ Dolly Atmosใหม่มาตรฐาน AKG

อย่างที่ทราบกันดีว่าตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วนั้นถูกย้ายตำแหน่งมาไว้ข้างล่างของกล้องในแนวตั้งไม่ว่าจะเป็นกล้องเดี่ยวหรือกล้องคู่ และในส่วนของตัวกล้องเอง ลองสังเกตุดีๆ จะเห็นว่ามีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของกล้องและตัวแฟลชให้ดูเพรียวและปราดเปรียวมากขึ้น

ถัดมาสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ในรุ่นนี้ก็จะเป็นในส่วนของกล้อง ซึ่งกล้องหน้าของทั้งสองรุ่นนี้มาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (F1.7) และ มีเซ็นเซอร์ Iris Scanner สำหรับสแกนม่านตาซ่อนอยู่ใต้ Black bazel และในส่วนของกล้องหลัง S9 มาพร้อมความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.5 กับ /2.4 ) และ S9+ มาพร้อมกล้องคู่ 12 +12 MP (F/1.5 กับ F/2.4)  และแฟลช LED ที่มี Heart Rate Sensor มาให้ด้วย

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์เด็ดๆ มาให้ได้เล่นกันอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น App Pair , Multiwindows , AR Emoji , Bixby vision ที่แปลภาษาแบบ Realtime ได้ , โหมด Dual Aperture ที่สามารถปรับค่ารูรับแสงได้ และ โหมด Super Slo-mo ที่สามารถถ่ายวิดีโอเคลื่อนไหวได้ถึง 960fps ซึ่งในส่วนนี้เราจะขออธิบายคร่าวๆ เฉพาะฟีเจอร์ใหม่ๆ ก่อนนะคะ

Super Slo-mo 960 fps

เริ่มต้นที่โหมดถ่ายวิดีโอสโลโมชั่นก่อนเลยแล้วกันค่ะ นับเป็นครั้งแรกของซีรี่ย์ S เลยก็ว่าได้ที่พัฒนาความสามารถในการถ่ายวิดีโอให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนสามารถถ่ายวีดิโอเคลื่อนไหวได้ถึง 960fps และมีระบบ Motion Detection อัตโนมัติ ที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวในเฟรม และหลังจากการบันทึกวิดีโอแบบ Super Slo-mo ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใส่เพลงประกอบได้ 35 แบบหรือเลือกเพลงของตัวเองก็ได้ หรือจะเปลี่ยนให้เป็นภาพ GIF พร้อมทั้งตัดต่อได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

Bixby vision Live Translate

สำหรับครั้งนี้ต้องขอบอกว่า บิ๊กบี้มาพร้อมความฉลาดมากขึ้นจริงๆ ด้วยระบบ AI ที่ฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ Bixby Vision มีความสามารถที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ด้วยระบบการแปลภาษาแบบ Realtime ที่เพียงแค่ส่องป้ายภาษาต่างๆ ก็สามารถแปลเป็นภาษาที่เข้าใจได้ทันที และยังมีความสามารถในการใช้ส่องอาหารแล้วระบุได้ว่าเป็นอาหารอะไร พร้อมมีข้อมูลด้านโภชนาการ เพื่อใช้บันทึกข้อมูลอาหารใน Samsung Health ได้ทันทีอีกด้วย จะกินอะไรไม่ต้องกลัวเกินแคลแล้วทีนี้ ส่องปุ้บรู้เลยแคลเท่าไหร่ ฮ่าาาา

Dual Aperture

ปกติแล้วกล้องในสมาร์ทโฟนตัวค่ารูรับแสงจะเป็นแบบตายตัวไม่สามารถปรับค่าได้ แต่บน S9 และ S9+ ถูกพัฒนามาให้เหนือชั้นกว่ากล้องสมาร์ทโฟนอื่นๆ ด้วย Super low and Bright Light Camera ที่สามารถปรับค่ารูรับแสงได้กว้างสุดเท่าที่เคยมีมาบนสมาร์ทโฟน คือ F/1.5 และสามารถเลือกปรับเป็น F/2.4 ตามสภาวะแสง คือความดีที่แท้ทรู ความสามารถนี้ได้มาจากการใส่ DRAM เข้ามาช่วยในเรื่องของการประมวลผลภาพ ง่ายๆคือ มันจะแบ่งออกเป็นช็อต 4 ชอตในการถ่ายโดยเก็บรายละเอียดต่างๆไว้แล้วนำมารวมกันและประมวลผลออกมาเป้นภาพที่ดีสุดและสว่างสุด เหตุนี้เองจึงทำให้กล้องของสองรุ่นนี้สามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยมากได้สว่างมากขึ้น เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น แถมมี Super speed duo pixel sensor ที่ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลด Noise ได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับ Galaxy S8 หรือ S8+

Intelligent Scan

 

ในรุ่นนี้ความพิเศษของโหมดรักษาความปลอดภัยเค้าก็ทำได้ดีขึ้นอัจฉริยะขึ้น โดยการนำเอาการสแกนใบหน้ามารวมไว้กับการสแกนม่านตา ทำให้ระบบการปลดล็อคเครื่องเร็วมากขึ้น และสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก ไม่ต้องถ่างตาเวลาสแกนไม่ติดไรงี้ละนะ เพราะบางทีในสภาพแสงน้อยเกินไป การสแกนใบหน้าอาจจะทำได้ไม่ค่อยดีนัก มันก็จะเปลี่ยนมาสแกนม่านตาให้เราแทนโดยอัตโนมัติ คือว่าง่ายๆก็คือมันสามารถเลือกให้เราได้ว่าใช้อันไหนจะสแกนได้เร็วสุดประมาณนั้น

AR Emoji

ถัดมาในส่วนของ AR Emoji ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ายินดีต้อนรับสู่โลกของ AR ซึ่งตัวนี้ก็จะเป็นโหมดสำหรับการสร้าง Avatar AR , VDO, GIF และสติ๊กเกอร์ของตัวเราเองได้ ซึ่งสามารถสร้างสติ๊กเกอร์ได้รูปแบบอารมณ์ทั้ง 18 แบบ โดยจะถูกสร้างขึ้นแบบโดยอัตโนมัติ แถมยังทำเป็นไฟล์ GIF หรือ VDO เคลื่อนไหวพร้อมเสียงพูดได้ด้วย

ราคาและวันวางจำหน่าย

ในส่วนของวันจัดส่งและวางจำหน่ายนั้นจะเริ่มเปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ไปจนถึงวันที่ 5 มีนาคม 61 นี้ และเร่ิมจัดส่ง 9-11 มีนาคม 61 ส่วนความจุ 256 GB จะเริ่มส่ง 29 มีนาคม – 11 เมษายนนี้ สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายก็ได้แก่ Samsung Shop ,S-estore ,LAZADA ,AIS ,DTAC ,TRUE ค่าาาา สำหรับใครที่สนใจก็อย่าลืมติดตามรีวิวฉบับเต็มจากพวกเราได้ที่นี่นะคะ ^^

ส่วนราคาจำหน่ายมีดังนี้ค่ะ

https://youtu.be/5_-NKRVn7IQ

สรุป สเปค S9

สรุป สเปค S9+