App Optimization ฟีเจอร์ยกระดับใหม่ในการควบคุมการจัดการแอพของ Samsung สมาร์ทโฟน

สวัสดีครับ วันนี้จะขออนุญาตมารีวิวฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเป็นครั้งแรกใน Galaxy Note 5 , Galaxy S6 Edge + และทยอยออกมาเรื่อยๆ ในเฟิร์มแวร์ตัวใหม่ๆ ของ Galaxy S6 และ Galaxy Note 4 นะครับ เจ้าฟีเจอร์ตัวใหม่นี้มีชื่อว่า App Optimazation ซึ่งจะเป็นฟีเจอร์ที่จะช่วยควบคุมการทำงานของแอพต่างๆ ในสมาร์ทโฟนของเรา นัยยะคือเครื่องจะคอยดูการทำงานของแอพต่างๆ ที่เราติดตั้งในเครื่อง หากดูว่า แอพไหนไม่ได้ถูกเรียกใช้งานจากผู้ใช้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด แอพนั้นก็จะถูกปิดการใช้งาน และจะไม่ให้รัน ใน background ของเครื่องเพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่นั่นเองครับ ส่วนจะ ตั้งค่า ยังไงนั่น เดี๊ยวเรามาดูกัน…

12141707_10154342121509778_4036186026720792502_n

เริ่มการใช้งาน

11694991_10154342124064778_779787609795014576_n

เปิดขึ้นมาจะเจอรายการ app ต่างๆ ที่เรา install ทั้งหมดในเครื่องนะครับ พอจิ้มไปที่แอพจะมีรายการขึ้นมาให้เลือก 3 รายการคือ

Advertisements

1 Automatic Optimizing

เป็นการตั้งค่าแรกเริ่มของฟีเจอร์นี้ครับ โดย เครื่องจะทำการมอนิเตอร์หรือตรวจสอบให้เราอัตโนมัติเลยว่าแอพนั้นๆ มีการเปิดการใช้งานจากเราหรือไม่ เริ่มแรกจะตั้งค่าไว้ที่ 3 วัน พูดง่ายๆ คือ หากภายใน 3 วันเราไม่ได้เปิดใช้แอพนี้ เครื่องจะปิดมันและไม่อนุญาติให้แอพมันรันใน background ครับ อารมณ์เหมือนเรา Disable app ที่มากับเครื่องที่เราไม่ต้องการใช้

2 Always Optimizing

แปลว่าเราเลือกให้เองเลยครับ ไม่ต้องให้มันวัดระยะเวลาการใช้ เลือกเองเลยว่าจะปิดมันตอนไหน

3 Turn off for

ไม่ต้องปิดครับเปิดทิ้งไว้ให้มัน response แบบปกติเลย

Optimize monitor setting

นอกจากนี้ เรายังสามารถตั้งค่าระยะเวลาที่เครื่องจะมอนิเตอร์ในแต่ละแอพก่อนที่จะ optimizing มันได้นะครับว่าจะให้มีระยะเวลากี่วัน โดยเลือกไปที่ more มุมบนขวามือแล้ว เลือกระยะเวลาว่าจะให้เป็น 3 , 5 , 7 วันครับผม

11694991_10154342124064778_779787609795014576_n

App ตัวไหนที่ควรใช้ Optimization

หากเราต้องการเลือกที่จะปิดไม่ให้แอพนั้นทำงานเองใน background ของเครื่องด้วยตัวเอง มีหลักการการสังเกตง่ายๆ คือให้เลือกแอพที่ไม่ได้ใช้บ่อย หากแอพไหนที่เรานานๆ ใช้ที และไม่ต้องการให้มันอัพเดทข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตโดยอัตโนมัติก็เลือกปิด โดยจิ้มที่ Always Opimizing ได้เลยครับ ซึ่งแอพที่ท่านตั้งค่า optimizing ไว้จะเหมือนถูกปิดการทำงานทุกอย่างนะครับ เช่นถ้าใช้กับ LINE ก็จะถูกปิดการใช้งานทุกอย่าง push notification ก็จะไม่ขึ้น status ก็จะไม่มีการ update จนกว่าเราจะเปิด LINE ขึ้นมาเองครับ 

10996069_10154342178984778_7749329965884484609_n

บทสรุป และข้อพึงระวัง

เป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากครับสำหรับการควบคุมแอพในสมาร์ทโฟนของเราเพื่อการประหยัดพลังงาน และประหยัดอินเตอร์เน็ตครับ ในความเป็นจริงแล้วเจ้า App Otmization นี้เป็นตัวต่อยอดจากฟีเจอร์การจัดการ RAM ที่อยู่ใน Application Manager ครับ แต่จะเพิ่มตัว auto monitoring มาให้เพื่อช่วยดูแทนเรา การที่มีตัว auto optimizing ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปมีการเข้าถึงการใช้งานในส่วนนี้ได้มากขึ้นด้วยครับผม

อีกส่วนคือ ถ้าเราเลือก always optimizing กับแอพใดๆ ถ้าเราใช้แอพนั้นแล้วระบบก็จะปิดไม่ให้รันใน background ต่อเลยครับ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เราต้องไปปิดเองใน การจัดการแรม เพียงแต่ช่วงแรกอาจจะเปลืองแบตนิดนึง เพราะเครื่องจะต้องทำการตรวจดูแอพทั้งหมดก่อนว่าท่านใช้งานแต่ละแอพมากแค่ไหนครับ แต่หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วก็น่าจะประหยัดแบตขึ้นได้เยอะเลย หรือท่านจะเลือกเองก็ได้นะครับว่าจะ optimize แอพตัวไหน จะได้ข้ามขั้นตอน monitoring ไป

ขอเตือนว่า แอพที่ท่าน set optimizing จะเหมือนถูกปิดการทำงานทุกอย่างนะครับ เช่นถ้าใช้กับ LINE ก็จะถูกปิดการใช้งานทุกอย่าง push notification ก็จะไม่ขึ้น status ก็จะไม่มีการ update จนกว่าเราจะเปิด LINE ขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นถ้าใช้กับแอพ Social อื่นๆ หรือแอพแชททั้งหลายอย่าง ท่านจะไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆ เลยครับ

หมายเหตุ ยังไม่สามารถปิด แอพที่ฝังมากับเครื่องแบบ facebook กับ messenger ได้ครับ

Leave a Reply